นักวิจัยเผย! ออฟฟิศแบบเปิดก่อให้เกิดความสัมพันธ์แย่ ๆ

 “ครั้งล่าสุดที่คุณได้จดจ่อกับงานของตัวเอง 

โดยไม่มีคนมารบกวนสัก 2 – 3 ชั่วโมง   คือเมื่อไร ?”

Highlight
  • ออฟฟิศแบบเปิด (Open-plan Office) มีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและคุณภาพงาน
  • ประเทศที่มีออฟฟิศแบบเปิดมากที่สุด คือสหราชอาณาจักร ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 1 เท่า
  • งานวิจัยหลายแหล่งล้วนระบุว่า ออฟฟิศแบบเปิดเป็นที่แพร่โรคติดต่อที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
  • การนำ “กฎห้องสมุด” มาปรับใช้กับออฟฟิศแบบเปิด สามารถบรรเทาผลในเชิงลบเหล่านี้ได้

 

.

มิติใหม่แห่ง “การรบกวน”                

           … ที่คุณไม่มีทางหลีกหนีได้

.

ผมกำลังเขียนบทความนี้ในขณะที่นั่งอยู่ในออฟฟิศแบบเปิด (Open-plan Office) ที่ทุกคนจะนั่งตรงไหนก็เรื่องของพวกเขา ตอนนี้ผมได้ยินเสียงนิ้วอวบ ๆ ของเพื่อนร่วมงานที่กำลังกระแทกลงบนคีย์บอร์ดด้วยความเร็วแสง คลอกับเสียงช้อนกระทบแก้วกาแฟเป็นจังหวะเร็กเก้ แถมด้วยเสียงโยกเก้าอี้สำนักงานที่ร่วมประสานเสียงราวกับกบในคืนฝนพรำ

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการสูดลมหายใจของคุณสุภาพสตรีก็ทำผมเตลิด ไหนจะชายชายฉกรรจ์ที่ผิวปากไม่หยุดด้วยเพลง Mas Que Nada พูดกันตรง ๆ ผมใช้เฮดโฟนที่มีระบบ Noise-cancelling ชั้นยอดนะ แต่มันไม่พออ่ะ เสียงพวกนี้มันดังจนทะลุหูฟังผมเข้ามาง่าย ๆ เลย ที่แย่ไปกว่านั้นคือบริษัทดันเปิดเพลง Fast Carเป็นรอบที่ 3 ในวันนี้ .… แม้ทุกคนจะสวมเฮดโฟนเพื่อหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงอันแสนวุ่นวายก็ตาม

.

ผลวิจัยชี้! Open-plan Office

ส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพจิตและคุณภาพงาน

.

ผลการวิจัยได้ชี้ชัดว่า กว่า 80% ของออฟฟิศชาวอเมริกันเป็นออฟฟิศแบบเปิด แถมทางสำนักข่าว The Guardian ได้เผยข้อมูลเชิงสถิติ ว่าสหราชอาณาจักรมีออฟฟิศประเภทนี้มากกว่าค่าเฉลี่ยของทุกประเทศในโลกถึง 1 เท่าตัว นอกจากนี้ WeWork ผู้ให้บริการปรับสภาพสำนักงานด้วยเฟอร์นิเจอร์สมัยคุณปู่ ยังสนับสนุนไอเดียว่าออฟฟิศประเภทนี้มันช่วยพัฒนาคุณภาพงาน แถมยังทำให้คนร่วมไม้ร่วมมือกันทำงานอีกด้วย

ว่าแต่ออฟฟิศแบบนี้มัน “เด็ด” ขนาดนั้นจริงเหรอ? ผมว่าไม่อ่ะ นึกภาพตามนะ ตัวคุณกำลังทำงานอยู่หน้ารายการทีวีที่คุณไม่เคยคิดอยากจะดูสักนิด โดยมีน้องชายกระหน่ำหมัดอัดแก้มตัวเองอยู่ข้าง ๆ นะครับ ผมเชื่อว่าคุณไม่อยากนั่งทำงานอยู่ตรงนั้นหรอก … แต่คุณคงไม่มีทางเลือกใช่ป่ะล่ะ

 

 

ในบทความก่อนหน้านี้ เราได้พูดถึงผลเสียของออฟฟิศแบบเปิดไปแล้วอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะทำให้เราวอกแวกวุ่นวาย ซ้ำร้ายยังมีคนแพร่กระจายแบคทีเรียกันเพียบ (ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ) จนส่งผลให้การลาหยุดกลายเป็นเรื่องสามัญประจำออฟฟิศไปซะงั้น

ก็ไม่น่าแปลกใจนะที่ออฟฟิศงี้มันช่วยให้ผลงานเราดีขึ้นหรือแย่ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ จากงานวิจัยของ Harvard บอกพวกเราไว้แบบนั้น แต่ลองมองว่าเราต้องมาเจอเสียงดัง การขยับตัวไปมาตลอดเวลาของคนอื่น อุณหภูมิแอร์ที่โดนปรับขึ้น ๆ ลง ๆ ที่จะทำให้เราเสียสมาธิจากงาน สักวันมันคงทำให้เราเกิดความวิตกกังวลจนกลายเป็นความหมดหวังอ่ะครับ นี่ขนาดผมไม่ใช่เจ้าหนุ่ม Introvert แบบโต๊ะข้าง ๆ นะ …

.

“Open-plan Office” หรือออฟฟิศแบบเปิด

วิวัฒนาการจากห้องสี่เหลี่ยม

สู่กล่องบิสกิตไซซ์ยักษ์

.

วิธีที่พวกเราทำงานในทศวรรษนี้ เปลี่ยนไปจากอดีตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้พอร์ตโฟลิโอมาชี้วัดศักยภาพ ใช้แล็บท็อปทำงานแทนกระดาษ มีชาวฟรีแลนซ์แทนพนักงานประจำ หรือแม้กระทั่งให้ทำงานจากนอกสถานที่แทนการนั่งในออฟฟิศ แต่เชื่อเหอะนั่นยังไม่ใช่ “ที่สุด” …. ของจริงอยู่ตรงนี้ต่างหาก พวกเรากำลังนั่งทำงานกันเหมือนบิสกิตที่โดนยัดใส่กล่องที่สร้างโดยชาว GEN B ครับ เหมือนที่พวกเขาเคยอยู่ในห้องเหลี่ยม ๆ แล้วพยายามฉีกกรอบออกมาด้วยการทำออฟฟิศแบบเปิด โดยลืมไปว่ามันอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ลองคิดภาพตามผมนะ ตอนนี้พวกคุณแทบไม่มีโอกาสจมดิ่งสู่ห้วงความคิด ในเมื่อผู้คนสามารถเข้าถึงคุณผ่าน GChat Slack WhatsApp Messenger ตลอดจนอีเมล์ หรืออะไรก็ไม่รู้ที่บริษัท “มอบ” ให้กับชีวิตส่วนตัวของคุณ

 

 

ไอเดียเรื่อง Open-plan Office จะช่วยสนับสนุนความร่วมมือร่วมใจเนี่ย เป็นเรื่องที่มุ้งมิ้งและอยู่ในอุดมคติจริง ๆ ซึ่งในหนังสือเรื่อง Deep Work เขียนโดนศาสตราจารย์ Cal Newport ได้หยิบ Quote ของผู้สร้าง Twitter มาอีกทีว่า “เราสนับสนุนให้คนอยู่ในพื้นที่อันเปิดกว้าง เพราะเราเชื่อว่ามันจะทำให้คนมีความสุข และผู้คนจะเริ่มสอนสิ่งใหม่ ๆ ให้แก่กัน” เอาจริงๆนะครับ ตั้งแต่ผมทำงานในออฟฟิศแบบเปิดมาเนี่ย ผมแทบไม่เคยเจอใครสอนอะไรใหม่ ๆ ให้ใครที่หน้าโต๊ะของพวกเขาเลย นอกจากนี้งานวิจัยของ Harvard ยังพบว่าออฟฟิศแบบเปิดไม่ค่อยช่วยให้คนเราร่วมงานกันแบบ Face-to-face แถมยังมีแนวโน้มจะทำให้คนหลีกเลี่ยงการพูดคุยกันโดยตรงแล้วไปใช้โปรแกรมแชทคุยกันแทนอีกด้วย!

.

นักวิจัยเผย!
“ออฟฟิศแบบเปิด” ก่อให้เกิดความสัมพันธ์แย่ ๆ

.

งานวิจัยที่คล้ายคลึงกันจาก Auckland University ชี้ชัดจากกว่า 1,000 กรณีศึกษา ว่าออฟฟิศแบบเปิดก่อให้เกิดความสัมพันธ์แย่ ๆ กับเพื่อนร่วมงานมากกว่าออฟฟิศแบบไพรเวท หรือแชร์ออฟฟิศ และที่่น่ากลัวคือมันแย่กว่าการทำงานจากนอกสถานที่เสียอีกครับ

มันไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลจะออกมาเป็นแบบนั้น เพราะห้องทำงานรูปแบบนี้ไม่เอื้อให้เกิดพื้นที่ส่วนตัว จนบางทีคนเราก็เผลอรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้การเอาคนหลายแผนกมารวมตัวในห้องเดียวกันนั้นนับเป็นไอเดียยอดแย่ ลองคิดนะครับ แผนก IT อาจต้องการความสงบ ในในขณะที่อีกแผนกต้องรับมือกับลูกค้าทางโทรศัพท์ คุณอาจจะจบลงที่ความหงุดหงิดกับใครสักคนในโต๊ะข้างหลังตะโกนสั่งเพื่อนร่วมงานแม้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาโดนจ้างมาให้ทำเช่นนั้นก็ตาม

 

 

อย่างไรก็ตาม ออฟฟิศแบบเปิดคงไม่ใช่อะไรที่พวกเราต้องการหรอกครับ จากงานวิจัยของ Oxford Economic เราได้ข้อมูลมาว่า สิ่งที่ชาว Millennial ต้องการที่สุดคือความสงบในที่ทำงาน รองลงมาคือความสามารถในการจดจ่อกับงานโดยไม่มีใครป่วน ซึ่ง … ย้อนกลับมาดูออฟฟิศแบบเปิดอีกที ย้อนกลับมาดูบริษัทที่ไม่ยอมปล่อยให้คุณไปทำงานจากนอกสถานที่อีกหน่อย (แม้ว่าคุณจะทำมันได้ดีกว่านั่งทำในออฟฟิศก็ตาม) โอเคครับ คุณเห็นแล้วเนอะว่ามันแย่แค่ไหน แต่ถ้าหาแสงสว่างในความมืดมิดนี้ ผมก็คงพูดได้เรื่องหนึ่งว่า “คุณไม่ใช่คนเดียวที่ต้องทนทำงานในสภาพแวดล้อมแบบนี้ครับ”

อะไรที่ผมอยากจะบอกออกไปก็คือ “คุณช่วยล็อกผมไว้ให้ห้องสีขาวสะอาด ให้กาแฟและขนมผ่านช่องเล็ก ๆ ที่ประตู แล้วคอยดูผมทำงานในสไตล์ของผมเถอะ ผมโหยหายุคแห่งห้องสี่เหลี่ยม ผมอยากได้แค่ห้องเล็ก ๆ โล่ง ๆ ที่ผมตกแต่งมันได้ตามใจ หรืออย่างน้อยก็ให้ผมเลือกที่จะทำงานในสถานที่โปรดของผม และกรุณาเชื่อใจว่าผมจะทำมันออกมาดี”

ตอนนี้ผมกำลังนอนแหมะอยู่บนทางเดินหน้าประตูหนีไฟ มุมนี้เป็นมุมปลอดภัยมุมเดียวในออฟฟิศที่ผมจะหาได้ ถ้าคุณที่กำลังอ่านบทความนี้พบว่ามันช่างขาดความเชื่อมโยง หรือถูกเขียนขึ้นมาด้วยจิตใจอันบิดเบี้ยวล่ะก็ อย่าว่าผมเลยครับ ช่วยไปบ่นคนที่สร้างออฟฟิศนี้ขึ้นมาเถอะคร้าบ