
หลายๆคนอาจจะบอกว่าการประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องทำงานหนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนก็ทำงานหนักกันทั้งนั้น แต่เป็นการทำงานหนักที่ชาญฉลาดและเป็นการทำงานที่คุ้มค่านั่นเอง อย่าลืมว่าหลายครั้งที่ความสำเร็จมาพร้อมกับหยาดเหงื่อและเวลาที่เสียไป เราควรจะรู้ว่าความต่างระหว่าง “การรู้ว่าต้องทำอะไร” กับ “ลงมือทำ” นั้นมีมาก เราจะทำอย่างไรดี
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนและพัฒนาศักยภาพของตัวเองตัวเองนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆแล้วก็จะได้มาเอง แต่จำเป็นที่จะต้องใช้ทั้งความคดทนและพยายามเป็นอย่างมากในการที่จะได้มา และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราทำงานหนักแล้วผลลัพธ์จะออกมาดีเสมอไป และส่วนใหญ่ต้องพบกับความผิดพลาด ทำให้ยิ่งท้อและอยากเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำต่อ เพราะไม่มีใครอยากจะทำงานหนักโดยที่พบกับความผิดหวังกันทั้งนั้น ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้เรามองข้ามสิ่งแย่ๆเหล่านั้นไป และพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป
1. คุณต้องมีภาพที่ชัดเจนว่าปลายทางนั้นของคุณคืออะไร
มันไม่มีวิธีที่แน่นอนที่จะกระตุ้นให้เรามีความกระตือรือร้นที่จะทำงานหรอก จะมีก็แค่คำถามเดียวที่ต้องถามตัวเองว่า “ทำไมเราถึงทำอย่างที่เราอยู่” เพราะอะไร
เราไม่ต้องมองว่าเราทำงานหนักไปเท่าไหร่ แต่ให้มองว่าเราทำไปเพื่ออะไร ให้มองว่ามันมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่เราหวังไว้ ให้มองข้ามความเหนื่อยยากแต่ให้โฟกัสไปที่เป้าหมายของคุณว่า ถ้าเราทำสำเร็จ เราจะรู้สึกดีแค่ไหน เพราะฉะนั้นการตั้งเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแรงจูงใจและผลักดันให้เราพยายามก้าวเดินต่อไปให้ถึงฝั่งฝัน
2. ดูแลร่างกายของคุณด้วย
บางทีก็ไม่ใช่แค่ปัญหาทางด้านจิตใจเท่านั้นที่มีผลต่อการทำงานของเรา แต่ปัญหาทางด้านร่างกายก็มีผลด้วยเหมือนกัน แม้ว่าภาวะด้านจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต่อให้ภาวะด้านจิตใจสูงแค่ไหน แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ก็อาจจะส่งผลต่อความกระตือรือร้นในการทำงานได้ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือ ตอนที่เราไม่สบาย เราจะรู้สึกเพลีย และอยากจะนอนพักอย่างเดียว ต่อให้เราอยากจะทำงานมากแค่ไหน ก็ต้องแพ้ให้กับร่างกายของเราเองที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน
หมั่นสำรวจตัวเองว่าสภาพร่างการเราเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม พักผ่อนเพียงพอหรือยัง พร้อมที่จะทำงานหนักไหม สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนมองข้ามไปโดยไม่รู้ตัว แต่จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่มีผลต่อการทำงานของเรา
3. ทำให้เป็นนิสัย
การบังคับให้เราทำอะไรติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้าเราทำให้มันเป็นเคยจนเป็นนิสัย มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที เพราะความกระตือรือร้นหรือแรงใจนั้นเป็นสิ่งที่มีจำกัด แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้กลายเป็นนิสัยของเรา เราก็จะไม่จำเป็นต้องใช้แรงใจไปโดยปริยาย คุณอาจจะเริ่มจากการลองทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ใช้แรงใจนิดเดียวดูก่อนก็ได้ค่ะ เช่น การออกกำลังกาย ตอนเริ่มแรกทุกคนก็ขี้เกียจออกกำลังกายกันทั้งนั้น โดยที่เราจะต้องคอยบอกตัวเองให้ไปออกกำลังกาย แรกๆก็อาจจะพอไปอย่างสม่ำเสมอ แต่พอผ่านไปสักพัก ความกระตือรือร้นที่จะไปก็ย่อมน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้เป็นเรื่องปกติ เราก็จะไปออกกำลังกายเองโดยอัตโนมัติ (บางทีถ้าไม่ได้ไป อาจจะรู้สึกหงุดหงิดตัวเองด้วยซ้ำ)
การออกกำลังกายก็เหมือนกับการทำงาน ถ้าเมื่อใดที่คุณรู้สึกว่างานที่คุณทำเป็นสิ่งที่คุณต้องทำเป็นกิจวัติแล้ว เมื่อนั้นคุณก็จะไม่รู้สึกว่าเหนื่อยที่จะต้องทำงานอีกต่อไป คุณจะเห็นว่ามันเป็นแค่เรื่องธรรมดาเท่านั้นเองค่ะ
4. กล้าที่จะเสี่ยงและลองทำสิ่งใหม่
อย่างที่รู้จักกันดีกับประโยคที่ว่า การลงทุนคือความเสี่ยง สำหรับผู้ลงทุนทำธุรกิจที่ถ้าไม่ยอมเสี่ยงก็จะไม่สามารถทำธุรกิจที่ดีได้นั้น ก็สามารถนำมาใช้ได้กับการทำงานซึ่งก็คือประโยคที่ว่า No pain, No gain นั่นเอง เพราะถ้าคุณมัวแต่ทำงานเดิมๆ คุณก็จะย่ำอยู่ที่เดิม ไม่สามารถพัฒนาหรือก้าวหน้าไปไหนได้เลย เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องลองที่จะเสี่ยงทำงานที่ท้าทายความสามารถ คุณต้องกล้าที่จะก้าวผ่านและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆก่อน เมื่อทำได้แล้วคุณจะรู้ว่าคุณจะกลายเป็นอีกคนที่แข็งแกร่งและดียิ่งขึ้น
5. ให้รางวัล (และลงโทษ) ตัวคุณด้วย
เทคนิคง่ายๆเลยเหมือนเวลาคุณฝึกสุนัข มีทั้งให้รางวัลและลงโทษเวลาที่มันทำไม่ได้ คุณก็เหมือนกันค่ะ ต้องตั้ง “รางวัล” สำหรับตัวเองเวลาคุณทำอะไรบางอย่างสำเร็จ อาจจะเป็นอะไรที่ไม่ต้องเป็นรางวัลใหญ่ๆก็ได้ แค่ การไปเที่ยว ไปกินอาหารหรูๆสักมื้อ ไปดูหนัง ซื้อของขวัญให้ตัวเอง ฯลฯ สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ก็สามารถเป็นแรงจูงใจให้คุณได้พยายามมากขึ้นได้ค่ะ แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะลงโทษตัวเองเมื่อคุณทำไม่ได้เหมือนกันนะค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับ 5 วิธีง่ายๆที่จะทำให้ตัวคุณทำงานหนักขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มทำกันตั้งแต่วันนี้เลยดีมั้ยค่ะ
Credit: http://www.inc.com/jessica-stillman/5-ways-to-motivate-yourself-to-work-harder.html